กฎหมายอาญา
กฎหมายที่รวมเอาลักษณะความผิดต่าง ๆ และกำหนดบทลงโทษมาบัญญัติขึ้น
ด้วยมีจุดประสงค์จะรักษาความสงบเรียบร้อยภายในสังคม การกระทำที่มีผลกระทบกระเทือน ต่อสังคมหรือคนส่วนใหญ่ของประเทศถือว่าเป็นความผิดทางอาญา ความรับผิดในทางอาญา หรือการกระทำความผิดทางอาญาซึ่งจะเกิดผลร้ายทำให้ถูกลงโทษ นอกจากจะต้องเป็นการกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติว่า เป็นความผิดแล้วผู้กระทำผิดยังต้องทำไปด้วย เจตนาโดย ยกเว้นการกระทำบางชนิดที่มีกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า แม้กระทำโดยไม่เจตนา หรือกระทำโดยประมาทก็ต้องรับผิด เจตนา คือ การกระทำผิดทางอาญาที่ผู้กระทำรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นความผิดแล้วยังทำลงไป ทั้ง ๆ ที่รู้สำนึกในการที่กระทำ ประมาท คือ การกระทำที่ผู้กระทำมิได้ตั้งใจให้เกิดผลร้ายแก่ใคร แต่เนื่องจากกระทำโดยไม่ระมัดระวัง หรือระมัดระวังไม่เพียงพอ ทำให้เกิดผลร้ายแก่ผู้อื่น ไม่เจตนา คือ การกระทำที่ผู้กระทำตั้งใจทำเพื่อให้เกิดผลอย่างหนึ่ง แต่ผลเกิดขึ้นมากกว่าที่ตั้งใจไว้ พยายามกระทำความผิด คือผู้กระทำความผิดได้ลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอดหรือ กระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ตัวการ คือ กรณีที่ความผิดได้เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำ ความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ผู้สนับสนุน คือ ผู้ที่กระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่น กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด ความผิดต่อแผ่นดิน คือ ความผิดในทางอาญาในเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่นอกจากจะมีผลต่อตัวผู้รับ ผลร้ายแล้วยังมีผลกระทบต่อสังคมเสียหายอีกด้วย และ ยอมความไม่ได้ ความผิดต่อส่วนตัว คือ ความผิดในทางอาญาซึ่งไม่ได้มีผลร้ายกระทบต่อสังคมโดยตรง หากตัวผู้รับผลร้ายไม่ติดใจเอาความแล้ว รัฐก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้และ ถึงแม้จะได้ดำเนินคดีไปบ้างแล้ว เมื่อตัวผู้เสียหายพอใจยุติคดีเพียงใดก็ย่อมทำได้ด้วยการถอนคำร้อง ทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความได้ 1. ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ของผู้อื่น
4. ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลง การ ปลอมแปลง คือ การทำให้มีขึ้นซึ่งของปลมอ เช่น ธนบัตรปลอม เอกสารปลอมโฉนดที่ดินปลอมการแปลง คือ การทำของเดิมซึ่งมีอยู่จริงเปลี่ยนสภาพไป เช่น เจาะเอาเนื้อเงินออกจากเหรียญห้าบาทบางส่วน 5. ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
สภาพบังคับทางอาญา "บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น บัญญัติเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย" หลัก ดังกล่าวนี้เป็นหลักสภาพบังคับทางอาญาที่สำคัญซึ่งอาจจะถือได้ว่า เป็นหัวใจของ “กฎหมายอาญา” หลักนี้ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของกฎหมายอาญาเอาไว้ 4 ประการ คือ 1. กฎหมายอาญาต้องชัดเจนแน่นอน 2. ห้ามใช้กฎหมายจารีตประเพณีลงโทษทางอาญาแก่บุคคล 3. ห้ามใช้กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งลงโทษทางอาญาแก่บุคคล 4. กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง โทษทางอาญา หรือ สภาพบังคับทางอาญานั้น มีผลหรือมาตรการที่รุนแรงในเรื่องการจำกัดสิทธิ ในร่างกาย ดังนั้นจะต้องมีความชัดเจนแน่นอนไม่กำกวม ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายแพ่งกล่าวคือ ในกฎหมายแพ่งนั้นมีหลักอยู่ว่า จะปฏิเสธว่าไม่มีกฎหมายมาปรับใช้ไม่ได้ส่วน กฎหมายอาญานั้น จะอุดช่องว่างของกฎหมายโดยการเทียบเคียงบท กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในทาง ที่เป็นโทษไม่ได้ แต่ในทางที่เป็นคุณแล้วย่อมกระทำได้ โทษทางอาญา 1.ประหารชีวิต คือ นำตัวไปยิงด้วยปืนให้ตาย 2.จำคุก คือ นำตัวไปขังไว้ที่เรือนจำ 3.กักขัง คือนำตัวไปขังไว้ ณ ที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนจำ เช่น นำไปขังไว้ที่สถานีตำรวจ 4.ปรับ คือ นำค่าปรับซึ่งเป็นเงินไปชำระให้แก่เจ้าพนักงาน 5.ริบทรัพย์สิน คือ ริบเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของหลวง เช่น ปืนเถื่อน ให้ริบ ฯลฯ
ความผิดทางอาญา
ผลทางกฎหมายอาญา
โทษทางอาญาของไทย มี 5 สถาน
ประเภทของการลักทรัพย์
ศัพท์กฎหมายอาญา
ผู้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
ที่มา กฎหมายที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน
http://singkle.blogspot.com/p/blog-page_6535.html
http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/human_society/20.html
https://sites.google.com/site/sangkhmm2/hnwy-kar-reiyn-ru-thi3/reuxng-thi-1kdhmay-thi-keiywkhxng-kab-chiwit-praca-wan
https://aruneelpru.wordpress.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น