การศึกษา ตรงกับกับคำว่า “สิกขา” หมายถึง การศึกษาทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงแต่การศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาเท่านั้น แต่หมายถึงการใช้ปัญญาพิจารณาชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายให้เข้าใจตามความเป็นจริง การศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนา มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. หลักการศึกษาหรือการเรียนรู้ มี 2 ระดับ คือ
- คันถธุระ เป็นการศึกษาโดยการท่อง สาธยาย และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ตามเนื้อหา
- วิปัสสนาธุระ เป็นการศึกษาโดยการลงมือปฏิบัติจริงตามความรู้ที่ได้เรียนมา
หลักการศึกษาทั้งสองนี้ต้องดำเนินคู่กันไปเสมอแยกออกจากกันไม่ได้ คือ คันถธุระเป็นลักษณะการศึกษาในส่วนที่เป็นทฤษฎีแสวงหาความรู้และนำไปสู่วิปัสสนาธุระ คือ นำความรู้ที่ได้ศึกษาไปลงมือปฏิบัติให้เกิดผลจริง หลักการศึกษานี้สอดคล้องกับหลักการไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
โดยเริ่มจาก สีลสิกขา ต่อด้วยจิตตสิกขา และขั้นตอนสุดท้าย คือ ปัญญาสิกขา ซึ่งขั้นตอนการศึกษาทั้ง 3 นี้ รวมเรียกว่า“ไตรสิกขา” ซึ่งมีความหมายดังนี้
1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในด้านความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ให้มีชีวิตสุจริต
2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาด้านสมาธิ หรือพัฒนาจิตใจให้เจริญ
3. ปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาในปัญญาสูงขึ้นไป ให้รู้คิดเข้าใจมองเห็นตามเป็นจริง
กล่าวได้ว่า สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา การศึกษาทั้ง 3 นี้ ต่างก็เป็นพื้นฐานกันและกัน หากสามารถนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง จะเกิดผลดีกับผู้ปฏิบัติ พุทธศาสนามุ่งสอนให้คนเป็นคนดี คนเก่งและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จึงนับได้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศึกษาอย่างแท้จริง
2. ประเภทของความรู้ พระพุทธศาสนาจำแนกความรู้ได้ดังนี้
1. จำแนกตามสภาวะหรือตามธรรมชาติของความรู้
2. จำแนกโดยทางรับรู้ จำแนกโดยพัฒนาการทางปัญญา
3. จำแนกโดยกิจกรรมและผลงานของมนุษย์
3. แหล่งที่มาของความรู้ ความรู้ทางพระพุทธศาสนามีแหล่งที่มา 3 ทาง คือ
1. ความรู้เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา)
2. ความรู้เกิดจากการครุ่นคิดด้วยเหตุผลตามสิ่งที่ได้ศึกษาเรียนมา (จินตมยปัญญา)
3. ความรู้อันบริสุทธิ์ที่ผ่านการศึกษา ครุ่นคิดอย่างมีเหตุผลและลงมือปฏิบัติจนได้ผลจริงแล้ว(ภาวนามยปัญญา)
4. การศึกษาจะให้สัมฤทธิ์ผลนั้นต้องดำเนินตามวิธีการแห่งหลักพหูสูต 5 ประการ คือ
- การฟัง หมายถึง การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในห้องเรียน ฟังให้มาก
- การจำได้ หมายถึง การใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้จำได้
- การสาธยาย หมายถึง การท่อง การทบทวนความจำบ่อยๆ
- การเพ่งพินิจด้วยใจ หมายถึงการตั้งใจระลึกถึงถึงความรู้นั้นไว้เสมอ
- การแทงทะลุด้วยความเห็น หมายถึงการเข้าถึงความรู้อย่างถูกต้อง
หลักพหูสูต 5 ประการ คือ ฟังมาก หรือศึกษาเล่าเรียนมาก จำได้แม่นยำ ท่องบ่นอย่างคล่องแคล่วอยู่เสมอเพ่งจนขึ้นใจ และมีความเข้าใจลึกซึ้งมองเห็นประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา โดยการศึกษามีเป้าหมาย คือ การพัฒนาคนให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย สังคม จิตใจ และสติปัญญา
พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยและวิธีการแก้ปัญหา
หลักการและเหตุผลภาคทฤษฎี คือ หลักเหตุปัจจัยที่อาศัยกันเกิดขึ้น ที่เรียกว่า หลักปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตา (อิทัปปัจจยตา แปลว่า สิ่งหนึ่งเป็นปัจจัยให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น) ซึ่งนำไปสู่ภาคปฏิบัติ คือ การแก้ปัญหา โดยพิจารณาตามเหตุปัจจัยว่าเกิดมาจากอะไร ตรงกับการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 ซึ่งพระพุทธศาสนาเน้นความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยคือ เมื่อแก้ปัญหาให้ตรงสาเหตุและเมื่อเหตุดับไปก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป
หลักอิทัปปัจจยตาเริ่มต้นที่อวิชชา (ความไม่รู้) เมื่อมีวิชาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (การปรุงแต่ง) สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยทำให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยทำให้เกิดชาติ และชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรามรณะ
หลักปฏิจจสมุปบาท 12 องค์ประกอบ หรืออิทัปปัจจยตา มีลักษณะเป็นวัฏจักร คือ หมุนเวียนสนับสนุนกันเป็นลูกโซ่ เรียกว่า วงจรอุบาท คือ กิเลส, กรรม, วิบาก โดยกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรมและเมื่อทำกรรมแล้วจะต้องได้รับวิบาก (ผลของกรรม) ปฏิจจสมุปบาททั้ง 12 สามารถจำแนกเข้าวงจรทั้ง 3 คือ อวิชชา ตัณหา และอุปาทานจัดเป็น กิเลสวัฏฏ์ สังขารและภพจัดเป็น กรรมวัฏฏ์ และวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชาติและชรา มรณะ จัดเป็น วิปากวัฏฏ์ พระพุทธศาสนาจึงเน้นการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยอาศัยหลักอริยสัจ 4 โดยใช้วีการแก้ปัญหาที่เรียกว่า มรรค มีองค์ 8
พระพุทธศาสนาฝึกคนไม่ให้ประมาท
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ หลักแห่งความไม่ประมาทนั่นเอง คือ สอนให้ตั้งอยู่ในความดีทุกขณะจิต รีบทำความดีให้สมบูรณ์โดยเร็ว โดยหลักความไม่ประมาทนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นปัจฉิมโอวาทก่อนปรินิพพาน ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำกิจทั้งปวงให้สำเร็จลุล่วงไป ด้วยความไม่ประมาทเถิด” ซึ่งวิธีการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท คือ ความไม่ประมาทในการประพฤติธรรม ความไม่ประมาทในเวลา และความไม่ประมาทในวัย
ที่มา : www.bootcampdemy.com/content/290-หลักการของพระพุทธศาสนากับศาสตร์แห่งการศึกษา
“มรรคแปด” (อัฏฐังคิกมรรค)
โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ
หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ
หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม
4. สัมมากัมมันตะ คือ
การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง
5. สัมมาอาชีวะ คือ
การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
6. สัมมาวายามะ คือ
ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียรในการกุศลกรรม
7. สัมมาสติ คือ
การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ
8. สัมมาสมาธิ คือ
การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ
อริยมรรคมีองค์แปด เป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา)
คือทางที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
มรรคมีองค์แปด
สามารถจัดเป็นหมวดหมู่ได้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
* ข้อ3-4-5 เป็น ศีล (สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
* ข้อ6-7-8 เป็น สมาธิ
(สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
* ข้อ1-2 เป็น ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ)
มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา
ได้ดังนี้
1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ
2. อธิจิตสิกขา ได้แก่
สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ
https://chatree81.wordpress.com/2014/02/28/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น